เปลือก กระพี้ และแก่น
เปลือก คือ อัตตา ของคนที่ต้องการมี ต้องการเป็น
บางคนก็เป็นอย่างที่เป็น บางคนก็อยากเป็นเกินกว่าที่ตัวเองเป็น
ถ้าเป็นได้ก็เป็นแก่น ถ้าไม่ได้ก็เป็นเปลือก หรืออาจเป็นกระพี้เข้ามาอีกหน่อย
แต่ทั้งหมดเราก็ต้องใคร่ครวญให้ดี ต้องทบทวนพิจารณาให้ดี
-โลก-
การรู้จักตนเองมาเท่าไหร่ ยิ่งเห็นข้อดี ข้อเสีย จุดเด่น จุดด้อยของตนเอง
มองตัวเองก่อนมองคนอื่น เพราะเราพัฒนาคนอื่นไม่ได้ง่ายๆ แต่เราพัฒนาตัวเราเองได้ทันที ถ้าเราเห็นสิ่งที่เราเป็น
-ธรรม-
ในทางธรรม แก่น หมายถึงความเข้าใจในการปฏิบัติธรรม และการปฏิบัติจริงอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งถึงจุดที่จะหายสงสัย ไม่มีวิกิจฉา ไม่มีสักกายะทิฏฐิ ไม่มีสีลัพพตปรามาสอันนอกขอบเขตพระพุทธศาสนา ถึงขั้นนี้ได้ก็โล่งว่ามาถูกทางตามรอยที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่หลงทางไปไหน
การปฏิบัตินั้นมีหลายสาย สายปัญญา นั้นเน้นเรื่องของความเข้าใจเห็นแจ้ง เข้าใจจริงไม่ใช่นึกเอาที่เป็นสุตมยปัญญา การฟังมากรู้มาก บางครั้งก็เป็นอุปสรรค ถ้ารู้เกินก่อนจะได้ประสบการณ์ธรรมจริงๆ บางทีก็นึกไปเองได้ด้วยฟังมามาก เติมมามาก กลายเป็นปิดกั้นโฮกาสความก้าวหน้าตัวเองไปก็มี
สายปัญญานั้น ถ้าทำสติให้เป็นมหาสติได้ มีสติรู้ทันสภาวะทุกขณะจิตได้ ก็จะพิจารณารู้ ดูเห็นสภาวะธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม อะไรเด่นขึ้นมาก็จับตัวนั้น ไม่ต้องไปกะเกณฑ์อะไร เงื่อนไขมากก็ปรุงแต่ง เป็นไปตามสภาวะมีมหาสติกำกับ
กาย เห็นรูป-นาม จริงหรือยัง เห็นเกิดดับไหม เห็นรูปนามเกิดดับแต่ละช่วงตอนที่สืบเป็นสันสติ ก็เห็นไตรลักษณ์
อนัตตา อนิจจัง ทุกขัง เข้าใจ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกชั่วขณะ ไม่ใช่ไกลไปแค่ชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย แม้ทุกขณะ เซลล์ก็เกิดแก่ เจ็บตายไปต่อเนื่องกัน ผม ขน เล็บงอกเกิดมา เสื่อมไปตามสภาวะ บางเส้นหักหลุดร่วง แตกปลาย เล็บหักบิ่นไป เกิดๆดับๆอยู่ทุกวินาที ใช่แค่วัน เดือน ปี
เวทนา เห็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกข์ อสุขเวทนา ทันด้วยสติ เกิดขึ้นก็วางลง ไม่ต้องบังคับให้วาง วางด้วยอาการที่สติทันโดยธรรมชาติดีกว่า ร้อนตอนนี้สุข ร้อนตอนนี้ทุกข์ ร้อนตอนนี้เฉยๆไม่สุขไม่ทุกข์ นั่นแหละสัมผัสอตายนะรับแล้ว มาสร้างทุกข์สุขนิยามเอง เกิดพึงใจ ไม่พอใจ
จิต เห็นจิตอย่างไร เห็นสันดานจิต อาการของจิตอย่างไร ก็ดูให้รู้เช่นเห็นชาติสิ่งที่เป็น ดูให้รู้จักกันไปเลย เห็นจิต เห็นอนุสัย ความเกี่ยวข้อง อิทธิพลปัจจัยที่มีผล ทั้งความเศร้าหมอง โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย ดูไปอย่างนั้น กำกับด้วยสติ ประเดี๋ยวก็รู้ทันเท่าทุกขณะเป็นเนื้อเดียวในทุกขณะหายใจ
ธรรม นั้นเข้าใจไปตามสภาวะธรรมที่เกิด อะไรเกิด อะไรเด่นก็ว่าไป สติอยู่ ทันทุกสภาวะ เกิดก็วาง ก็สัมผัสกระแสไอสงบเย็น นิพพาน มากขึ้นเรื่อยๆ สภาวะโลกก็จะวางลงได้ ไม่วูบไหวไปทีละเล็กละน้อย