เป็นบันทึกธรรมดาหลังจากการปฏิบัติธรรม เขียนบันทึกความเข้าใจเก็บไว้เฉยๆครับ
จิตเป็นไปตามสภาวะ ไม่ข้องเกี่ยว ไม่ยึดติด
สภาวะที่เคลื่อนไป เกิดขึ้น แต่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่เป็นพันธะต่อจิตอีก
ได้ยินเสียงก็ได้ยินของมันอย่างนั้น ไม่ต้องไม่พยายามไม่สนใจฟัง หรือสนใจฟัง
รู้ว่าได้ยิน เสียงเพลงนั้นได้ยินก็ได้ยิน ไม่พยายามไม่ได้ยิน
รู้ว่าได้ยิน แต่จิตไม่ข้องเกี่ยว ไม่ข้องเกี่ยวก็ไม่มีเสาเรือนให้ปลูก
สุขเวทนา ทุกข์เวทนา ก็ย่อมเห็น ความพึงพอใจ ความไม่พึงพอใจย่อมไม่เกิด
ย่อมเป็นสภาวะของมันไป
รู้ว่าได้กลิ่น ก็ได้กลิ่นของมันอย่างนั้น เป็นสภาวะ
รู้ว่าได้กลิ่น แต่จิตไม่ข้องเกี่ยว ไม่ยึดติด
กลิ่นหอมก็เป็นกลิ่มหอมของมันไป กลิ่นอะไรผ่านมาก็เป็นกลิ่นของมัน
เป็นสภาวะที่ผ่านมา ความพึงพอใจ ความไม่พึงพอใจย่อมไม่เกิด
ไม่มีเสาเรือนให้ปลูก จิตย่อมรู้อย่างนั้นของมันเอง
มีตัวตน มีสังขาร ก็มีของมันไปตามสภาวะอย่างนั้น
จิตไม่ข้องเกี่ยวกับสภาวะที่มันเป็นไป จะเป็นทุกขเวทนา จะเป็นสุขเวทนา
หรือทุกข์อสุขเวทนา ก็ให้มันเป็นไปตามสภาวะที่มันเป็นของมันอย่างนั้น
จิตไม่เกาะเกี่ยว ไม่บังคับ ไม่ยึดอะไร
สภาวะที่เป็นไปอย่างไรก็รู้ว่ามันเป็นไปอย่างนั้น สิ่งนั้นมีอยู่ตั้งอยู่ มันก็มีของมันอย่างนั้น
จิตไม่ปรารถนา หรือปรารถนาเกาะเกี่ยว
จิตไม่พึงเกาะเกี่ยว หรือพึงเกาะเกี่ยว มันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
ไม่สูญ ไม่ตั้งอยู่ เป็นสภาวะว่าง
ว่างจากการเกาะเกี่ยว และไม่เกาะเกี่ยวกับตัณหาทั้งปวง กิเลสทั้งปวง
ไม่มีเชื้อ ไม่มีเสาเรือน ไม่มีเหตุอันเกาะเกี่ยวให้เกิด
สิ่งที่รู้ไม่ใช่การพิจารณาให้รู้ ไม่มีความปรารถนา ไม่มีความอยากให้รู้
ไม่ได้เพ่ง ไม่ได้พยายามพิจารณา ไม่ได้มีและไม่มีความมุ่งหวัง
รู้ตามสภาวะที่เป็นไป สภาวะที่เกิด สภาวะที่ดับ
ที่ดับทั้งหมด เพราะไม่เกาะเกี่ยวทำปฏิกริยากันอีก
รู้แต่ใช่ว่ามีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์
เป็นไปตามสภาวะ แต่ก็ไม่ได้เกาะเกี่ยวสภาวะนั้น
จิตรู้อย่างนั้น และมันเป็นอย่างนั้น
บันทึกเก็บไว้อ่าน เพื่อนำไปสอบทานเปรียบเทียบกับ การหยั่งถึงรากภพภูมิเวียนว่ายตายเกิดที่แม้พรหมเองก็ยังไม่หลุดพ้นวัฎฏะสังสาร และการรู้ทัน ตัณหาวิจริต ๑๐๘ ในการปฏิบัติธรรมในลำดับถัดไปครับ