บันทึกส่วนตัวกับาการบ้านปฏิบัติธรรม ณ วันก่อนวันออกพรรษา 4 ตค.2552
ดูอาการของกิเลสของตนเอง ตั้งแต่เริ่มจนจบบ่อยๆตามจริง
หลักๆก็คือ ดูอย่างมีสติ
ดูตามจริงว่าตนมีกิเลสอะไรบ้างในแต่ละวัน แต่ละวินาที
เราต้องรู้จักอาการของกิเลสของตนให้ชัดก่อน
ถ้าเราดูกิเลสที่เคลื่อนไหวไปตามสิ่งเร้าต่างๆในชีวิตอย่างมีสติ
เราก็จะเห็นกิเลสของตนเอง

เราดูไปเรื่อยๆ
เห็นอาการที่แสดงออกของกิเลสของตน
รัก ชอบ โกรธ หลง โมหะ อยากได้ พอใจอะไรก็เห็นไปตามนั้น
ดูโดยไม่ต้องไปฝืนจะแก้ จะห้ามมัน

การดูอาการตามธรรมชาติของตนที่แสดงกิเลสให้ชัด เห็นชัด
ก็เกิดตัวรู้ เกิดความเท่าทันกิเลส มันก็จะสงบระงับลงเพราะสติทันกิเลส

ยิ่งมีสติ จิตดูทันอาการของจิตที่แสดงกิเลสทุกขณะเวลาได้
ก็จะเริ่มละ ลด แรงของกิเลสนั้นได้

เมื่อทันมากเราจะรู้ว่า
ณ เวลานี้อาการของกิเลสเดิมของเรา
ส่วนไหนเพลาลง ส่วนไหนลดลง หรือส่วนไหนละได้เท่าใด
เรียกว่า จิตดู สติรู้

จิตดู สติรู้ ได้แค่ไหน
ก็อยู่ที่การปฏิบัติสมาธิ
รู้ตัวเองว่าปฏิบัติด้วยความเข้าใจทางปัญญาได้แค่ไหน
ขณะเดียวกันก็ควรมีศีลให้ใจผ่องแผ้ว เบิกบาน และมีศรัทธาในการปฏิบัติ

ศีลที่บริบูรณ์เพราะพยายามรักษษในกรอบ
กับศีลที่บริบูรณ์โดยเนื้อธรรมชาติ ด้วยเห็นโทษ เห็นทุกข์ของผู้ไม่อยู่ในศีล
ก็ยังมีเนื้อต่างกัน

ศรัทธาโดยตามๆเขาไป เขาว่า เราทำ เราเชื่อก็แบบหนึ่ง
ศรัทธาโดยจิตเต็มเปี่ยมเห็นซึ้งถึงที่พึ่ง ว่าพึ่งได้จริง เป็นศรัทธาในเขตบุญพุทธศาสนาก็อย่างหนึ่ง
ยิ่งหากศรัทธาโดยปราศจากวิกิจฉา ความลังเลสงสัยอีก
เพราะปฏิบัติเกิดตัวรู้ เห็นทางรำไรที่จะพ้นทุกข์ พ้นเกิดแก่เจ็บตายได้จริงก็แบบหนึ่ง

ยิ่งปฏิบิต ยิ่งสอบทานตัวเอง ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ

อวิชชา มายาคติ สัญญา นิวรณ์ต่างๆ อาการของกิเลสต่างๆในตัวเราที่แสดงออก
ก็จะมีผลต่อเราต่างออกไปจากเดิม