สภาวะธรรม

สีและเส้น ประกอบเห็น เป็นรูปร่าง

มุมมองต่าง เกิดความคิด รู้สึกสวย

เห็นรูปนก เกิดความหมาย ใจอำนวย

ชอบชังช่วย ก่อความคิด ยิ่งแตกไป

เดิมทีมี เพียงแค่สี และลายเส้น

ร้องเรียงเป็น รูปร่าง ด้วยจำหมาย

เห็นเป็นนก เป็นภาพ เป็นรูปกาย

เกิดความหมาย เพราะใจ สร้างต่อเนื่องกัน

รู้จิตตน ขยับเคลื่อน และสั่นไหว

จิตเป็นไป ตามเหตุ ที่สร้างสรร

สัญญาจำ ก่อรูป ความหมายครัน

รูปนามพลัน ก่อเกิด เป็นเรื่องราว

เห็นเป็นนก ซ้อนซับ อยู่เต็มภาพ

เห็นพิราบ เห็นเหยี่ยว อยู่กลางหาว

เห็นรูปวาด ยิ่งคิด ไปยืดยาว

ฉงนกล่าว นึกนิยม คนวาดไป

รู้ทันจิต เห็นลำดับ อาการจิต

จิตพินิจ คิดไป ได้ถึงไหน

เห็นความชอบ รู้สึก เกิดพอใจ

รู้อย่างไร รู้ตามไป อย่างที่เป็น

ไม่บังคับ ขยับฝืน ให้เลิกคิด

ไม่พินิจ ตั้งใจ อยากจะเห็น

ปล่อยตามธรรม รับทราบ เช่นที่เป็น

ให้เราเห็น ลำดับ จึงรู้ตน

เห็นแต่เริ่ม ไล่จนจบ ลำดับได้

เห็นแจ้งใน เหตุเริ่ม ลำดับผล

แจกแจงได้ เห็นเข้าใจ ลำดับตน

จึงรู้จน แจ่มแจ้ง ในจิตเอง

รู้แจ่มแจ้ง อาการจิต ก็รู้มรรค

อุปสรรค ก็คลี่คลาย มลายสูญ

เข้าใจแท้ แน่แก่ใจ ทวีคูณ

ยิ่งเพิ่มพูน กำลังจิต ให้หลุดไป

ดูที่จิต เห็นจิต อาการจิต

ลำดับคิด ฟุ้งเกิด แล้วดับหาย

เห็นไตรลักษณ์ไม่เที่ยงอันวุ่นวาย

เห็นว่ากายนามรูปไม่เที่ยงจริง

มีแต่เพียง สภาวะ แห่งธรรมตั้ง

หยั่งรู้ใน เหตุแท้ จิตจึงนิ่ง

ชาติตะพึด ภพตะพือ ก็หยุดทิ้ง

สิ่งทุกสิ่ง ก็หยุดแล้ว ในฉับพลัน

เมื่อไม่มี เหตุต่อ ให้ยึดจับ

ผลก็ดับ ตามกัน ไม่เหหัน

ไม่ได้หยุด แต่ไม่อยาก ก็หยุดกัน

รู้ทันแล้ว ก็แจ้งชัด เห็นประเด็น

หิวก็หิว คือหิว ฉันรับทราบ

ตาเห็นภาพ ฉันก็รู้ รู้ว่าเห็น

โลกขยับ ฉันรับรู้ อย่างโลกเป็น

ไม่กระเซ็น ซัดส่าย อย่างเช่นเคย

โลกคือธรรม ธรรมคือโลก เป็นเช่นนั้น

ทันจิตแล้ว รู้โจทย์ คำเฉลย

ไม่มีต่าง ไม่มีเปรียบ ไม่มีเลย

ตื่นแล้วเอย เห็นโลกแล้ว สาธุชน

………………………………………………..

บทกวีนี้ผมได้แต่งเพื่อบันทึกสภาวะธรรมของจิตที่เปลี่ยนไปของผมครับ

สิ่งที่ชัดเจนอย่างหนึ่งคือ การตระหนักรู้นั้น จะเกิดจากความเข้าใจในการปฎิบัติด้วยตัวเองเท่านั้น

การรับรู้รับฟัง จากการไต่ถาม ค้นคว้า ศึกษานั้นยังเป็นความรู้อีกแบบ คือ รู้ต่อมา ด้วยการอ่านมากฟังมาก จำมามาก

แต่ยังต่างจากความรู้ที่เกิดจากความเข้าใจของตนเองจริงๆ  ซึ่งจะเป็น”การรู้”  สิ่งที่รู้และเข้าใจจริงๆ โดยหาใช่แค่ความรู้เท่านั้น

แต่ขณะเดียวกันก็ตระหนักได้ว่า “การรู้” นั้นก็ยังมีลำดับอีกมากมายที่จะต้องเพียรต่อไปอีก ใช่ว่าหยุดลงแค่นี้

..

การเห็นเข้าใจในการปฏิบัติจริงๆ และบันทึก เพื่อหมั่นตรวจสอบทานในระหว่างปฏิบัติ
จะทำให้เราแน่ใจได้ว่าเราเดินตามรอยพระพุทธเจ้ามาถูกทางแล้ว ไม่กลับหลังหันไปหลงผิดอีก