ที่มา::สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
http://www.ipst.ac.th/ThaiVersion/publications/in_sci/glacier.html
ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วจากภาวะโลกร้อน
สิ่งที่มักทำให้เราไม่ค่อยแน่ใจว่าโลกเรากำลังประสบปัญหาโลกร้อนเข้าขั้นวิกฤต ก็เพราะมีบทความทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยจากฝ่ายที่ออกมาเตือนและฝ่ายที่เสียประโยชน์จากการที่จะเกิดการรณงค์ลดการสร้างปัญหาโลกร้อน
สิ่งที่ดีที่สุดคือการรวบรวมความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเพื่อทราบ และพิจารณาด้วยตัวคุณเองครับ
- ในบริเวณเขตร้อนของประเทศออสเตรเลียเกิดความแห้งแล้งอย่างหนักมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน จนเกิดไฟป่าเป็นบริเวณกว้าง ปริมาณน้ำฝนไม่พอเพียงวัดได้เพียง 400-600 มิลลิเมตร (16-20 นิ้ว) ในช่วงปี 2540-2541
- ในปาปัวนิวกีนี มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คน และอีก 700,000 คนต้องเผชิญกับความอดอยากและโรคภัยไข้เจ็บ ที่องค์การสหประชาชาติระบุว่าคือโรคไทฟอยด์ ท้องร่วง และมาเลเรีย
- ในภาคใต้ของแอฟริกาตะวันตก (Southern Part of West Africa) ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าปีปกติตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ไม่มีฝนตกในช่วงปี 2525-2526
- ที่แอฟริกาใต้ พบว่าการเริ่มต้นฤดูฝนเกิดช้ากว่าปกติ
- แอฟริกาตะวันออก ในช่วงแรกของเดือนพฤศจิกายน ด้านบริเวณชายฝั่งจะมีฝนชุกเกินกว่าปีปกติ และปริมาณฝนตกสูงกว่าปีปกติ
- ในยุโรปตอนกลาง (Central Europe) การก่อตัวของเฮอริเคนและพายุหมุนเขตร้อน (Tropical Storm and Hurricane Activity) หลังเดือนกรกฎาคมบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกเกือบจะไม่มีพายุหมุนเขตร้อนและเฮอริเคนเลย แต่กลับต้องเผชิญคลื่นความร้อนแทน โดยในช่วงฤดูร้อนปี 2549 ที่ผ่านมาทวีปยุโรปดูเหมือนจะร้อนระอุเป็นพิเศษ สืบเนื่องจากต้องประสบกับสภาวะคลื่นความร้อนที่ปกคลุมทวีปยุโรป เหมือนครั้งที่เกิดขึ้นแล้วในปี พ.ศ. 2546 ซึ่งทำให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตรวมทั่วทั้งทวีปยุโรปสูงถึงประมาณ 50,000 คน (ฝรั่งเศสประมาณ15,000 คน และอิตาลี ประมาณ 20,000 คน) ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดในผู้สูงอายุ นอกจากนี้ในประเทศกรีซ อิตาลี และบัลแกเรีย หลายพื้นที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 43 องศาเซลเซียส และต้องเผชิญกับไฟป่าที่เป็นผลจากคลื่นความร้อนเป็นวงกว้าง โดยที่เกาะเอเวียในกรีซ เครื่องบินบรรทุกน้ำดับเพลิงประสบอุบัติเหตุตก นักบินและผู้ช่วยบนเครื่องบิน เสียชีวิตทั้งคู่ ส่วนในอังกฤษ ระดับน้ำป่าที่ไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่เป็นวงกว้างในภาคกลางและภาคตะวันตก ในเหตุอุทกภัยรุนแรงที่สุดในรอบ 60 ปี ยังสร้างความเดือดร้อนให้บ้านเรือนมากกว่า 3.5 แสนหลังคาเรือน ที่ยังขาดแคลนน้ำใช้ และอีก 5 หมื่นหลังคาเรือน ไม่มีกระแสไฟฟ้า
- ในอเมริกา มีความแตกต่างกันไปในแต่ละภาคเนื่องจากเป็นทวีปใหญ่ โดยด้านตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศมีส่วนช่วยปะทะพายุเฮอริเคนให้เบาบางลง ในภาคเหนือมีอิทธิพลให้อากาศแห้งแล้งและหนาวน้อยลง ขณะที่ในแคลิฟอร์เนียและอ่าวเม็กซิโกมีฝนตกหนักและน้ำท่วมสร้างความเสียหายอย่างหนัก ที่รุนแรงที่สุดก็คือ พายุระดับ 5 อย่าง เฮอร์ริเคนแคทริน่า และริต้าในอเมริกา
- อเมริกาตอนกลาง (Central America) เกิดสภาพความแห้งแล้งผิดปกติในเดือนกรกฏาคม-ตุลาคม
ล่าสุด เหตุพายุโซนร้อน Stan ที่พัดเข้าหลายประเทศในอเมริกากลาง (ได้แก่ เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส เม็กซิโก คอสตาริกา และนิการากัว) และเกิดเหตุแผ่นดินถล่มในอเมริกากลาง (BBC, 6/10/2005)
http://www.exim.go.th/info/risk_main.asp?country=Central+America - พายุเฮอร์ริเคน Wilma ที่พัดเข้าแถบอเมริกากลางทำให้เกิดโคลนถล่มในเฮติ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 คน และเกิดฝนตกหนักในฮอนดูรัสและนิการากัว ทั้งนี้ พายุเฮอร์ริเคน Wilma กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งของสหรัฐฯ บริเวณอ่าวเม็กซิโก (Reuters, BBC, ผู้จัดการออนไลน์, 18-19/10/2005) กัวเตมาลาและคอนตาริกา รัฐบาลกัวเตมาลาประกาศว่าผลผลิตข้าวโพด ถั่ว กาแฟ จะเสียหายราวร้อยละ 40-50 ขณะที่คอสตาริกาผลผลิตข้าวสูญเสียร้อยละ 25 และกาแฟซิมีร้อยละ 40
- อเมริกาใต้ (South America) สภาพความแห้งแล้งขยายตัวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปจนถึงชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา พื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคกลางและภาคใต้มีความชุ่มชื้นกว่าปีปกติในเดือนมิถุนายน-ตุลาคม
- ชิลี เกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อเดือนมิถุนายนของหลายปีก่อน นับเป็นความรุนแรงที่ใหญ่สุดในรอบ 10 ปี มีผู้เสียชีวิต 17 รายและได้ที่ทำกินอีก 60,000 คน ขณะที่ในเมืองหลวงซานดิเอโกนั้น ปริมาณน้ำฝนในเดือนเดียวกว่า 300 มิลลิเมตรมากกว่าปริมาณน้ำฝนปกติของทั้งปีที่เคยวัดได้ เช่นเดียวกับทางตอนเหนือเขตทะเลทรายที่ปริมาณน้ำฝนเดือนเดียวที่วัดได้มากกว่าปริมาณน้ำฝนตามปกติในระยะ 30 ปี
- เปรู ซึ่งรับผลกระทบเมื่อปี 1982-1983 ประชาชนกว่า 100 คนเสียชีวิตจากน้ำท่วมแผ่นดินถล่มและอีกนับหมื่นไร้ที่อยู่อาศัย เศรษฐกิจชาติเสียหายและถดถอยร้อยละ 12 และในปี 2007 แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ในเปรูเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม ในช่วงคืนวันพุธ 15 ส.ค. ตามเวลาท้องถิ่น หรือช่วงเช้าวัน พฤหัสบดี 16 ส.ค. ตามเวลาประเทศไทย ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งถึงแล้วกว่า 510 ศพ บาดเจ็บมากกว่า 2,000 คน ถือเป็นหนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 100 ปี ของเปรู โดย สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส) ได้ปรับระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวจาก 7.9 เป็น 8.0 ตามมาตราขนาดโมเมนต์ ซึ่งถือเป็นระดับที่รุนแรงมากและเกิดขึ้นได้ยากหายนภัยทางธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดของเปรูในรอบ
- โคลัมเบีย อัตราการเกิดโรคมาเลเรียเพิ่มขึ้น ในช่วงปี 1972-1973, 1982-1983, 1986-1987 และ 1992-1993 และในปี 2007 ภูเขาไฟเนวาโด เดล ฮุยลา ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงโบโกตาของโคลัมเบีย ซึ่งมีการประทุมาตั้งแต่เดือนมีนาคม เกิดระเบิดขึ้น 2 ครั้ง เมื่อวานนี้ และยังส่งผลให้เกิดโคลนถล่มและอุทกภัยตามมา สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนประชาชน รวมทั้งถนนหนทาง และสะพานอีกหลายแห่ง ทำให้ประชาชนนับพันคนต้องอพยพออกนอกพื้นที่ เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าภูเขาไฟลูกนี้อาจจะเกิดระเบิดขึ้นอีก ซึ่งทางกองทัพโคลัมเบียได้ส่งเฮลิคอปเตอร์บินสำรวจพื้นที่โดยรอบที่ได้รับผลกระทบจากเหตุโคลนถล่มและอุทกภัยแล้ว สำหรับภูเขาไฟเนวาโด เดล ฮุยลา เป็นภูเขาไฟสูงเป็นอันดับที่ 3 ของโคลัมเบีย ซึ่งมีหิมะปกคลุมยอดเขาตลอดทั้งปี และครั้งนี้นับเป็นการระเบิดครั้งแรกในรอบ 500 ปี - อเมริกาเหนือ (North America) ผลกระทบรุนแรงที่สุดในช่วงฤดูหนาวและช่วงก่อนฤดูใบไม้ผลิ เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลขึ้นเร็วกว่าปกติ ส่งผลให้การดำรงชีวิตของสัตว์ทะเล (Marine Species) จากบริเวณคาบสมุทร Baja จนถึงบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกผิดไปจากเดิม
- เอกวาดอร์ เคยประสบความเสียหายกว่า 640 ล้านเหรียญจากเอลนิโญ ในระหว่างปี 1982-1983
- ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัวอย่างภาวะโลกร้อนที่ชัดเจนที่สุดคือ ไฟไหม้ป่าในอินโดนีเซีย ที่กินเวลานานกว่า 3 เดือน เสียหายกว่า 4 ล้านไร่ ขณะที่การดับไฟก็เป็นไปได้ยาก และความหวังจากน้ำฝนที่ควรจะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมก็เป็นไปไม่ได้เพราะสาเหตุจากเอลนิโญ ความเสียหายครั้งนี้ใช่แต่ทำลายระบบนิเวศน์พืชและสัตว์ป่าเท่านั้น หากแต่ฝุ่นควันที่หนาแน่นค่อนปีเกินระดับอันตราย ยังส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศในเขตเพื่อนบ้านอินโดนีเซีย โดยเฉพาะมาเลเซียต้องสูญหายไปด้วย