ของลุงพีครับ

ผมต้องกราบขออภัยทุกๆท่านที่เป็นเจ้าของบทความดีๆ
ไม่ว่าท่านเหล่านั้น จะนำบทความต่างๆมาจากที่ใดก็ตาม
ด้วยเหตุที่ผมท่องเที่ยวเวียนวนอ่านบทความต่างๆในกระทู้ที่มีอยู่
แล้วรู้สึกถึงคุณประโยชน์ของบทความเหล่านั้นว่า
น่าจะมีผลดีในการที่จะนำมาขบคิด และพัฒนาความคิด
ในการดำรงค์อยู่อย่างผู้มีสติ อันจะเป็นประโยชน์ต่อทุกผู้ทุกนาม
ที่ได้อ่าน ได้คิดตาม จึงจะขอรวบรวมไว้ในแหล่งเดียวกัน
หวังว่าทุกๆท่านคงเข้าใจในเจตนานะครับ

ข้อคิดจากเรื่องราวของ “ไอสไตน์”
ในห้องเรียนวันหนึ่ง ไอสไตน์ถามนักเรียนว่า
“มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ
ปรากฏว่า คนหนึ่งตัวสะอาด อีกคนคัวเลอะเทอะ เต็มไปด้วยเขม่า
ขอถามหน่อยว่า คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน”

นักเรียนคนหนึ่งตอบว่า
“ก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ”
ไอสไตน์ พูดว่า
“งั้นเหรอ คุณลองคิดดูให้ดีนะ คนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรก
เต็มไปด้วยเขม่าควัน เขาก็ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไปเก่าเหมือนกัน
ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆเลย
ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่า ตัวเองก็สะอาดเหมือนกัน
ตอนนี้ ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า ใครที่จะไปอาบน้ำก่อนกันแน่”

นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า
“อ้อ!ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่
แต่คนที่ตัวสกปรก เห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย
ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย ถูกไหมครับ”

ไอสไตน์มองไปที่นักเรียนทุกคน นักเรียนทุกคน ต่างเห็นด้วยกับคําตอบนี้
ไอสไตน์ค่อยๆพูดขึ้นอย่างมีหลักการและเหตุผล
“คําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน
จะเป็นไปได้ไงที่คนหนึ่งสะอาด อีกคนหนึ่งจะสกปรก นี่แหละที่เขาเรียกว่า “ตรรก”

เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจนสะดุด ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผล
แห่งเรื่องราวที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ “ตรรก”
จะหาตรรกได้ ก็ต้องกระโดดออกมาจาก “พันธนาการของความเคยชิน”
หลบเลี่ยงจาก “กับดักทางความคิด”
หลีกหนีจาก “สิ่งที่ทําให้หลงทางจากความรู้จริง”
ขจัด “ทิฐิแห่งกมลxxx”

จะหาตรรกได้ก็ต่อเมื่อ คุณสลัดหมากทั้งหมด ที่คนเขาจัดฉากวางล่อคุณไว้